D.T.C. BLOG

อัพเดตข่าวสารความรู้โลจิสติกส์

กล้องติดรถยนต์กับ GPS ควรติดคู่กันไหม? หรือแค่ตัวเดียวพอ? เจาะลึกความจำเป็นและประโยชน์ที่คุณต้องรู้

กล้องติดรถยนต์กับ GPS ควรติดคู่กันไหม? หรือแค่ตัวเดียวพอ? เจาะลึกความจำเป็นและประโยชน์ที่คุณต้องรู้

ข้อดีของการมีกล้องติดรถยนต์พร้อม GPS ในเครื่องเดียว

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อุปกรณ์อย่าง กล้องติดรถยนต์ และ GPS (ระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก) กลายเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยและมักเห็นติดตั้งอยู่ในรถยนต์หลายคัน แต่คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยก็คือ “เราจำเป็นต้องติดทั้งสองอย่างเลยไหม?” หรือ “แค่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็เพียงพอแล้ว?” บทความนี้จากผู้เชี่ยวชาญด้านระบบติดตามและกล้องติดรถยนต์จาก ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงความแตกต่าง ประโยชน์ และความคุ้มค่าของการใช้งานอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด

ทำความเข้าใจหน้าที่หลักของ “กล้องติดรถยนต์” และ “GPS”

ก่อนจะตัดสินใจว่าควรติดตั้งอะไรดี เรามาทำความเข้าใจหน้าที่หลักของอุปกรณ์แต่ละชนิดกันก่อน ซึ่งการทำงานที่แตกต่างกันนี่แหละคือหัวใจสำคัญในการพิจารณา

กล้องติดรถยนต์ (Dash Cam) คืออะไร?

กล้องติดรถยนต์คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่บันทึกภาพวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นภาพด้านหน้า ด้านหลัง หรือแม้แต่ภายในห้องโดยสาร ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ การเฉี่ยวชน หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่น ๆ บนท้องถนน นอกจากนี้ยังใช้เป็นหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ หรือแม้กระทั่งช่วยจับภาพอาชญากรรมได้อีกด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ กล้องติดรถยนต์ทำหน้าที่เป็น “พยานปากเอก” ที่พร้อมให้ข้อมูลภาพและเสียงได้ตลอดเวลาที่รถเคลื่อนที่

GPS (Global Positioning System) คืออะไร?

GPS คือระบบนำทางและติดตามตำแหน่งของรถยนต์แบบ Real-time โดยอาศัยการรับสัญญาณจากดาวเทียม ทำให้เราสามารถทราบตำแหน่งที่แน่นอนของรถยนต์ได้ตลอดเวลา ไม่ว่ารถจะอยู่ที่ไหนก็ตาม นอกจากฟังก์ชันหลักในการนำทางแล้ว ระบบ GPS สมัยใหม่ยังถูกพัฒนาให้เป็นมากกว่าแค่การบอกเส้นทาง เช่น การแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนที่ออกนอกพื้นที่ที่กำหนด, การตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่, การบันทึกเส้นทางการเดินทาง และการแสดงข้อมูลการขับขี่อื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทั้งผู้ใช้รถส่วนตัวและผู้ประกอบการที่ต้องการบริหารจัดการฟลีทรถ (Fleet Management)

ทำไม “กล้องติดรถยนต์” กับ “GPS” จึงจำเป็นต้องใช้คู่กัน

เมื่อพิจารณาหน้าที่ของอุปกรณ์ทั้งสองอย่างแล้ว จะเห็นได้ว่า กล้องติดรถยนต์ ให้ “หลักฐานเชิงภาพ” ส่วน GPS ให้ “ข้อมูลเชิงตำแหน่งและพฤติกรรม” ซึ่งถ้ามองแยกกันอาจจะดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่เมื่อนำมาใช้ร่วมกันแล้ว จะสร้างประโยชน์ที่เหนือกว่าการใช้งานแบบเดี่ยว ๆ ได้อย่างมหาศาล

ลองจินตนาการว่าหากรถของคุณเกิดอุบัติเหตุ ในกรณีนี้ กล้องติดรถยนต์ จะให้ภาพวิดีโอที่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และใครเป็นฝ่ายผิด แต่ถ้าภาพวิดีโอนั้นไม่มีข้อมูลเวลาและสถานที่ที่แม่นยำ การนำไปใช้อาจมีข้อจำกัด แต่เมื่อมีข้อมูลจาก GPS เข้ามาประกอบ คุณจะทราบได้ทันทีว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลาใด ณ พิกัดไหน ทำให้หลักฐานของคุณมีความน่าเชื่อถือและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการติดตั้ง กล้องติดรถยนต์ พร้อม GPS Tracking ที่มาพร้อมกัน

  • หลักฐานที่สมบูรณ์แบบ: วิดีโอเหตุการณ์ที่มาพร้อมกับข้อมูลพิกัด เวลา ความเร็ว และทิศทางการเคลื่อนที่ ทำให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือสูงมากสำหรับบริษัทประกันภัยหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ
  • ป้องกันการโจรกรรม: หากรถถูกขโมย GPS จะช่วยให้คุณติดตามตำแหน่งของรถได้ทันที และเมื่อพิจารณาข้อมูลจาก กล้องติดรถยนต์ (โดยเฉพาะรุ่นที่มีการบันทึกเมื่อจอดรถ) อาจช่วยให้เห็นภาพของผู้กระทำผิดได้
  • การบริหารจัดการฟลีท (Fleet Management) อย่างมีประสิทธิภาพ: สำหรับธุรกิจที่มีรถยนต์หลายคัน การติดตั้งอุปกรณ์ทั้งสองชนิดจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ของพนักงาน (เช่น การใช้ความเร็วเกินกำหนด, การเบรกกะทันหัน) และดูภาพเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนด้านพลังงาน
  • การปกป้องรถในขณะจอด: กล้องติดรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นมาพร้อมกับโหมดบันทึกเมื่อจอดรถ (Parking Mode) ซึ่งจะทำงานร่วมกับ GPS เพื่อแจ้งเตือนหากรถมีการสั่นสะเทือนหรือถูกชนในขณะที่จอดอยู่ ทำให้คุณสามารถรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถของคุณ

ควรติดตั้งแบบไหนถึงจะคุ้มค่าที่สุด?

คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของคุณ

กรณีที่ “กล้องติดรถยนต์” อย่างเดียวก็เพียงพอ

หากคุณเป็นผู้ใช้รถทั่วไปที่ต้องการเพียงแค่หลักฐานในกรณีเกิดอุบัติเหตุ และไม่ได้กังวลเรื่องการติดตามรถมากนัก การติดตั้งแค่ กล้องติดรถยนต์ ก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรเลือกกล้องที่มีคุณภาพดี มีระบบบันทึกภาพคมชัด และมีฟังก์ชันเสริมที่จำเป็น เช่น โหมดบันทึกขณะจอดรถ

กรณีที่ “GPS” อย่างเดียวก็เพียงพอ

ในบางกรณี เช่น การจัดการฟลีทรถที่มีขนาดใหญ่และต้องการเพียงแค่ข้อมูลตำแหน่งและพฤติกรรมการขับขี่ของพนักงานเพื่อบริหารจัดการต้นทุนและเส้นทาง การติด GPS เพียงอย่างเดียวก็อาจตอบโจทย์ แต่การไม่มี กล้องติดรถยนต์ อาจทำให้คุณขาดหลักฐานเชิงภาพที่สำคัญในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

กรณีที่ “กล้องติดรถยนต์” กับ “GPS” ควรติดคู่กัน

นี่คือคำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับทั้งผู้ใช้รถส่วนตัวและธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพการจัดการอย่างสูงสุด การติดตั้งอุปกรณ์ทั้งสองชนิดจะช่วยให้คุณอุ่นใจได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องรถจากการโจรกรรม, การจัดการฟลีทรถให้มีประสิทธิภาพ หรือการมีหลักฐานที่สมบูรณ์แบบในกรณีฉุกเฉิน

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ กล้องติดรถยนต์ และ GPS

Q: กล้องติดรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ มี GPS ในตัวแล้วไม่ใช่เหรอ?

A: ใช่ครับ กล้องติดรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นมาพร้อมกับ GPS Module ที่ช่วยบันทึกข้อมูลพิกัดและความเร็วลงในไฟล์วิดีโอด้วย ซึ่งถือเป็นฟังก์ชันที่สำคัญมาก อย่างไรก็ตาม GPS ที่มากับกล้องติดรถยนต์ส่วนใหญ่มักมีหน้าที่หลักเพียงแค่บันทึกข้อมูลประกอบวิดีโอเท่านั้น ไม่ได้มีฟังก์ชันการติดตามรถแบบ Real-time ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงเหมือนกับอุปกรณ์ GPS Tracking สำหรับการบริหารจัดการฟลีทโดยเฉพาะ

A: การใช้โทรศัพท์มือถือเป็น GPS เหมาะสำหรับการนำทางส่วนตัว แต่ไม่เหมาะสำหรับการติดตามรถในเชิงพาณิชย์ หรือการติดตามในระยะยาว เนื่องจากอุปกรณ์ GPS Tracking ที่ติดตั้งในรถโดยตรงจะมีความแม่นยำในการระบุตำแหน่งสูงกว่า และมีฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วนกว่า เช่น การส่งข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่, การตัดสัญญาณสตาร์ทรถจากระยะไกล, และการเชื่อมต่อกับระบบควบคุมอื่น ๆ ของรถ

A: จำเป็นอย่างยิ่งครับ แม้ GPS จะบอกได้ว่าเกิดอุบัติเหตุที่ไหนและเมื่อไหร่ แต่ กล้องติดรถยนต์ เท่านั้นที่จะบอกได้ว่า “เกิดอะไรขึ้น” ข้อมูลจากทั้งสองอุปกรณ์จะทำงานเสริมกัน ทำให้หลักฐานของคุณสมบูรณ์แบบและน่าเชื่อถือที่สุด

A: ในบางกรณี บริษัทประกันภัยอาจเสนอส่วนลดเบี้ยประกันให้กับรถที่ติดตั้งระบบ GPS Tracking เนื่องจากระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและการโจรกรรม นอกจากนี้ ข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ที่เก็บจาก GPS อาจถูกนำมาใช้ประกอบการพิจารณาเบี้ยประกันในอนาคตได้อีกด้วย

เลือกโซลูชันที่ครบวงจรจาก ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)

หลังจากที่ได้เจาะลึกถึงความสำคัญและประโยชน์ของการใช้งาน กล้องติดรถยนต์ และ GPS ร่วมกันแล้ว หากคุณกำลังมองหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) คือผู้นำด้านระบบติดตามยานพาหนะและการบริหารจัดการฟลีทในประเทศไทย ที่พร้อมให้บริการแบบครบวงจร

เราเข้าใจดีว่าความต้องการของลูกค้าแต่ละรายไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานส่วนตัวหรือการบริหารจัดการธุรกิจขนาดใหญ่ เราจึงมีโซลูชันที่หลากหลาย ตั้งแต่ กล้องติดรถยนต์ ที่มีฟังก์ชันครบครัน ไปจนถึงระบบ GPS Tracking อัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกับกล้องติดรถยนต์ได้ ทำให้คุณสามารถดูภาพวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับข้อมูลตำแหน่งได้อย่างเรียลไทม์

ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี และการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและบริการที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้รถของคุณปลอดภัย และการบริหารจัดการฟลีทเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับความปลอดภัยและประสิทธิภาพให้ธุรกิจของคุณ ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาและโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้แล้ววันนี้

หากคุณกำลังมองหาโซลูชัน GPS ติดรถยนต์, GPS Tracker
กล้องติดรถยนต์  , กล้องรอบคัน ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความปลอดภัย ความคุ้มค่า และการบริหารจัดการข้อมูลแบบมืออาชีพ MDVR จาก DTC คือคำตอบที่ใช่ ทั้งในเรื่องคุณภาพ เทคโนโลยี และบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้


 

ติดต่อเราได้ทุกช่องทาง

บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)
63 ซอยสุขุมวิท 68 ถนนสุขุมวิท แขวงบางนาเหนือ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260

โทร : 1176 (24 ชั่วโมง)  |  แฟกซ์ : 02-744-7667

Email : info@dtc.co.th

Shoppee : https://shopee.co.th/dtcshop_

บทความอื่นๆ เพิ่มเติม