หากไม่ใช้ GPS ติดรถกะบะ ต้นทุนการขนส่งอาจบานปลายโดยไม่รู้ตัว

GPS ติดรถกะบะ ช่วยลดต้นทุนขนส่งสินค้าเกษตรอย่างไร?

ในโลกการเกษตรปัจจุบัน ต้นทุนในการขนส่งผลผลิตไม่ใช่เรื่องเล็ก ยิ่งสำหรับเกษตรกรที่ต้องจัดส่งพืชผลจากไร่สู่ตลาดในแต่ละวัน การควบคุมต้นทุนด้านน้ำมัน การใช้แรงงาน และความปลอดภัยของสินค้า คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม GPS ติดรถกะบะ และ กล้องติดรถยนต์ จึงกลายเป็นตัวช่วยใหม่ที่เกษตรกรไทยควรพิจารณา

ประโยชน์ของ GPS ติดรถกะบะสำหรับเกษตรกร

1. ควบคุมเส้นทางการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ
   GPS ติดตามรถ หรือ GPS Tracker สามารถแสดงเส้นทางขับขี่ได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้เกษตรกรเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด ลดระยะเวลาเดินทาง และประหยัดค่าน้ำมันได้อย่างชัดเจน
2. ป้องกันการใช้งานรถผิดวัตถุประสงค์
   เมื่อรถกะบะใช้ในกิจกรรมเกษตรที่เฉพาะเจาะจง เช่น ขนส่งผลไม้สด หากมีการแวะพักหรือเบี่ยงเบนเส้นทางโดยไม่จำเป็น ระบบ GPS ติดรถยนต์จะแจ้งเตือนทันที ช่วยลดความเสียหายจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้ขับขี่
3. วิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ ลดการสึกหรอของรถ
   ระบบ GPS Tracking หรือ MDVR ที่ติดกล้องหน้ารถและกล้องรอบคัน สามารถบันทึกการขับขี่ เช่น การเร่งเครื่องแรง เบรกกะทันหัน ซึ่งนำไปสู่การวางแผนฝึกอบรมหรือปรับปรุงพฤติกรรมขับขี่ให้ปลอดภัยขึ้น
4. เพิ่มความปลอดภัยของสินค้าเกษตร
   การติดกล้องหน้ารถและกล้องติดรถยนต์หน้าหลัง ช่วยบันทึกเหตุการณ์ขณะขับขี่ตลอดเส้นทาง เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องขนสินค้ามีมูลค่าสูง เช่น ทุเรียน, มังคุด, พืชผักออร์แกนิก ซึ่งอาจเป็นเป้าหมายของการโจรกรรม
5. ใช้เป็นหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
   ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างการขนส่ง กล้องติดหน้ารถที่เชื่อมต่อกับระบบ MDVR และบันทึกแบบ CCTV ติดรถ จะเป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถใช้ยืนยันความบริสุทธิ์ของเกษตรกรได้

GPS ติดรถกะบะ ช่วยวางแผนธุรกิจเกษตรอย่างไร?

1. ตรวจสอบและวางแผนรอบการขนส่งได้แม่นยำยิ่งขึ้น
   รู้เวลาที่รถออกจากไร่ ถึงตลาด หรือศูนย์กระจายสินค้าแบบเรียลไทม์ผ่าน GPS ติดตาม ช่วยให้วางแผนรอบการขายในแต่ละวันได้ตรงจังหวะมากขึ้น
2. ติดตามรถหลายคันในระบบเดียว
   สำหรับเกษตรกรที่มีรถขนส่งหลายคัน หรือเป็นวิสาหกิจชุมชน การติด GPS Tracking ทุกคันช่วยให้ติดตามสถานะทั้งหมดในหน้าจอเดียวผ่านแอปพลิเคชัน
3. ประเมินต้นทุนต่อเที่ยวได้ละเอียด
   รู้ข้อมูลทุกเที่ยวของรถ เช่น เวลาเดินทาง, ปริมาณน้ำมันที่ใช้, ระยะทาง ทำให้สามารถวิเคราะห์ต้นทุนขนส่งต่อเที่ยว และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความแตกต่างของ GPS Tracker และ MDVR ที่ควรรู้ก่อนติดตั้ง

ทั้ง 2 ระบบสามารถทำงานร่วมกันได้เพื่อความครบวงจร หากคุณเป็นเกษตรกรที่ต้องการความปลอดภัย + การวิเคราะห์ข้อมูลครบถ้วน ควรเลือกใช้ GPS + กล้อง MDVR พร้อมกัน

เกษตรกรควรติด GPS รุ่นไหนดี?

เกษตรกรควรเลือก GPS ติดรถกะบะ ที่มีคุณสมบัติดังนี้:

• รองรับระบบติดตามแบบเรียลไทม์
• เชื่อมต่อกับแอปมือถือได้
• มีระบบแจ้งเตือนเมื่อออกนอกพื้นที่
• มีรายงานย้อนหลังเพื่อวิเคราะห์
• รองรับกล้องติดรถยนต์ในตัว (หรือสามารถเชื่อมต่อ MDVR ได้)
  

แนะนำให้เลือกจากผู้ให้บริการที่มีบริการหลังการขาย และสามารถติดตั้ง GPS ติดรถใกล้คุณได้ เช่น DTC

กล้องติดรถยนต์ช่วยเกษตรกรอย่างไร?

• ป้องกันการขโมยสินค้า
• ลดปัญหากับเจ้าหน้าที่ในจุดตรวจ
• ใช้ตรวจสอบการจัดวางสินค้าระหว่างขนส่ง
• ใช้ยืนยันเหตุการณ์เมื่อเกิดการขัดแย้งกับลูกค้า/ผู้ซื้อ

GPS ติดรถกะบะ = ลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับเกษตรกรยุคใหม่

GPS ติดรถกะบะ และ กล้องติดรถยนต์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ติดตาม แต่คือ “ตัวช่วยควบคุมต้นทุน” ที่จะเปลี่ยนวิถีการเกษตรให้ทันสมัย มีข้อมูลพร้อมตัดสินใจ และลดความสูญเสียที่อาจเกิดจากการขนส่งในทุกเที่ยวเดินทาง

พร้อมยกระดับการขนส่งสินค้าเกษตรของคุณให้ทันสมัยขึ้นหรือยัง?

ให้ DTC ช่วยคุณติดตั้ง GPS และกล้องติดรถยนต์ที่เหมาะกับการใช้งานจริง ด้วยทีมงานมืออาชีพและเทคโนโลยีที่ไว้ใจได้

ตัวอย่าง GPS ติดรถกะบะของ DTC ที่แนะนำ  

หนึ่งในรุ่น GPS ติดรถกะบะยอดนิยมจาก DTC ที่เกษตรกรและธุรกิจไว้วางใจคือ  DTC รุ่น Blue Box  ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชันครบถ้วน เช่น:  

• ติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์ 
• เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำมันและความเร็ว
• รองรับกล้องติดรถยนต์ MDVR เพื่อบันทึกวิดีโอขณะขับขี่
• ติดตั้งง่าย พร้อมแอปพลิเคชันดูข้อมูลผ่านมือถือ